; การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกเพื่อวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุน -โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เชียงใหม่ McCormick Hospital ChiangMai

การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกเพื่อวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุน

       ภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis) เป็นภาวะที่มีความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดลง ส่งผลให้กระดูกขาดความแข็งแรง ทำให้กระดูกแตกหักได้ง่ายแม้เกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย ถ้ากลไกการสร้างและทำลายกระดูกไม่สมดุลกัน เช่น มีการสลายกระดูกมากเกิน หรือมีการสร้างกระดูกน้อยเกินไป หรือขาดแคลเซียม ก็จะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้ มักพบในผู้หญิงมากว่าผู้ชาย ตั้งแต่ช่วงอายุ 30 - 40 ปี โดยเฉพาะผู้หญิงในช่วง 5 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน นอกจากนี้ การไม่ออกกำลังกาย การขาดแคลเซียมและวิตามินดี การสูบบุหรี่ หรือการใช้ยาบางชนิดก็ทำให้มวลกระดูกลดลงได้รวดเร็วเช่นกัน


       ภาวะกระดูกพรุนนับว่าเป็น “มฤตยูเงียบ”  เนื่องจากภาวะกระดูกพรุนนั้นจะไม่มีอาการเตือนล่วงหน้ามาก่อน  อาการของโรคกระดูกพรุนนี้มักค่อย ๆ เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันได้สังเกตเห็น เช่น รู้สึกปวดตามบริเวณเอว หลัง ข้อมือหรือเริ่มมีรูปร่างเปลี่ยนไป เช่น หลังโก่ง ไหล่งุ้ม หรือเตี้ยลง เป็นต้น จะรู้ว่ามีกระดูกพรุนก็ต่อเมื่อเกิดกระดูกหักเสียแล้ว บริเวณที่พบกระดูกหักจากภาวะกระดูกพรุนได้บ่อย ได้แก่ บริเวณกระดูกข้อมือ กระดูกหลัง และกระดูกสะโพก ซึ่งการหักของกระดูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณกระดูกสะโพกในคนที่มีภาวะกระดูกพรุนนั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความพิการ เดินไม่ได้ต้องทนทุกข์ทรมาน และมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย  ดังนั้นเราควรที่จะป้องกันหรือรีบรักษาภาวะกระดูกพรุนตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีกระดูกหักเกิดขึ้น



เราจะทราบได้อย่างไรว่ามีภาวะกระดูกพรุน

       การตรวจวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุนทำได้หลายวิธี สำหรับวิธีที่นิยมทำกันในปัจจุบัน คือการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density-BMD) ซึ่งสามารถตรวจวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุนได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น



ผู้ที่ควรได้รับการตรวจ BMD (Bone Mineral Density-BMD)

       1. ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนหรือ ผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง
       2. ผู้ชายอายุ 65 ปีขึ้นไป
       3. ผู้ชายและผู้หญิงทุกกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยง ดังนี้
           3.1 กระดูกหักในผู้สูงอายุ
           3.2 มีบิดาหรือมารดาที่เคยกระดูกสะโพกหัก
           3.3 คนไข้ที่ได้รับยาเสตียรอยด์เป็นเวลานานกว่า 3 เดือน
           3.4 ผู้หญิงที่มีดัชนีมวลกาย (Body mass index ,BMI) น้อยกว่า 19
       4. คนที่มีโรคหรือภาวะที่ทำให้มวลกระดูกลดลงเช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป
       5. ผู้ป่วยที่แพทย์จะเริ่มให้ยาเพื่อการรักษาภาวะกระดูกพรุน
       6. ผู้ป่วยที่แพทย์ต้องการติดตามผลการรักษา หลังจากให้ยาเพื่อรักษาภาวะกระดูกพรุน



ข้อดีของการตรวจ BMD (Bone Mineral Density-BMD)

      1. ให้ความถูกต้องแม่นยำสูงผู้รับการตรวจได้รับปริมาณรังสีน้อย
      2. สามารถใช้ตรวจกระดูกได้หลายส่วนรวมทั้งมวลกระดูกทั่วร่างกาย ด้วยคลื่นเอกซเรย์ที่มีความแม่นยำสูง
      3. ใช้เวลาในการตรวจรวดเร็วและทราบผลทันที

ขั้นตอนการตรวจความหนาแน่นมวลกระดูก

       การตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกด้วยเทคนิค DEXA ซึ่งเป็นการตรวจที่แพร่หลายที่สุด จะเริ่มด้วยการที่ผู้รับการตรวจจะเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดที่สบาย นำชิ้นส่วนโลหะออกจากร่างกาย (ในกรณีที่ผู้รับการตรวจใส่ข้อมือ สะโพกเทียมจะได้รับการตรวจในข้อสะโพกฝั่งตรงข้ามหรือกรณีใส่เหล็กดามกระดูกสันหลังก็จะได้รับการตรวจในกระดูกสันหลังส่วนเอวที่ไม่มีเหล็กอยู่) จากนั้นผู้รับการตรวจจะนอนบนเตียงตรวจ เจ้าหน้าที่จะจัดตำแหน่งร่างกายที่เหมาะสมแล้วเริ่มการตรวจด้วยการปล่อยรังสีเอกซ์ พลังงานต่ำ

ข้อห้าม    

       1. ผู้หญิงตั้งครรภ์
       2. เพิ่งเข้ารับการตรวจที่ต้องรับประทานสารทึบรังสี หรือสารกัมมันตรังสี
       3. ผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการจัดท่าที่เหมาะสมสำหรับการตรวจ

       ฉะนั้นเพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน ควรสะสมมวลกระดูกให้มากที่สุดตั้งแต่วัยเด็ก รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และรับประทานอาหารที่ให้แคลเซียมมาก เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม กุ้งแห้ง ปลาตัวเล็ก ๆ งาดำ ผักใบเขียว เช่น ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า ผักบร็อคโคลี่ และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ที่สำคัญอย่าลืมตรวจสุขภาพและตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกอย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี