; ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) -โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เชียงใหม่ McCormick Hospital ChiangMai

ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome)

ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout)  คือ ภาวะทางอารมณ์และจิตใจที่เกิดขึ้นจากความเครียดเรื้อรังที่เกิดจากการทำงาน แล้วส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงสุขภาพกายและจิตใจ โดยความเครียดที่เกิดขึ้นมักเกิดมานานและต่อเนื่องอาจส่งผลให้คนทำงานรู้สึกหมดพลัง ท้อแท้ และรู้สึกถึงความไม่เชื่อมโยงของงานตัวเอง และไม่เชื่อมโยงกับองค์กรแบบที่เคยรู้สึกก่อนหน้านี้

            องค์การอนามัยโลกได้ระบุภาวะนี้ใน International Classification of Diseases (ICD-11) และนิยามให้เป็น "Occupational Phenomenon" คือเป็นความผิดปกติที่เกิดจากการทำงาน แม้ภาวะนี้จะไม่ถือเป็นความเจ็บป่วยทางจิตเวชโดยตรง แต่ก็สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ



การกำเนิดและการเปลี่ยนแปลงของแนวคิด
Burnout

คำว่า "Burnout" ถูกนำเสนอครั้งแรกในปี ค.ศ. 1975 โดยนักจิตวิทยา Marlynn Wei ซึ่งหมายถึงภาวะตอบสนองต่อความเครียดที่เกิดจากการทำงาน โดยมีลักษณะของอารมณ์ที่อ่อนล้า ขาดแรงจูงใจ ไม่เพลิดเพลินกับงาน และรู้สึกต่อต้านหรือลบกับงานที่ทำ นักวิจัยในวงการจิตวิทยาได้ทำการศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียด และได้ข้อสรุปว่า Burnout มีความสัมพันธ์กับความเบื่อหน่ายเรื้อรัง ความเหนื่อยล้า และภาวะความเครียดสะสมที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะในอาชีพที่ต้องทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน และใช้พลังงานจิตใจสูง เช่น แพทย์ พยาบาล ครู และบุคลากรในองค์กรที่ต้องทำงานภายใต้ความกดดันสูง ใน ICD-11 องค์การอนามัยโลกได้กำหนดอาการสำคัญของ Burnout ไว้ 3 ประการ ได้แก่:

  1. ความเหนื่อยล้าและสูญเสียพลังงานผู้ที่มีภาวะหมดไฟมักรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำงานหรือต้องทำกิจกรรมที่ใช้แรงใจ

  2. ทัศนคติต่องานในแง่ลบ เช่น ความรู้สึกต่อต้านงาน หรือการมองเห็นงานในแง่ลบ อาทิ การขาดแรงจูงใจ ไม่มีความรู้สึกภูมิใจหรือตั้งใจทำให้ประสบความสำเร็จ

  3. ความเหินห่างทางอารมณ์กับผู้คนและงาน มีการตีตัวออกห่างจากเพื่อนร่วมงาน ขาดความเชื่อมโยงด้านอารมณ์กับสถานที่ทำงาน และไม่รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรหรือทีม

  

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิด Burnout

คนทำงานมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหมดไฟเมื่อมีลักษณะงานที่ก่อให้เกิดภาระและความกดดัน เช่น:

  1. ภาระงานที่หนักเกินไป: งานที่มีความซับซ้อนและต้องเร่งรีบอาจทำให้คนทำงานรู้สึกเหนื่อยล้า

  2. ขาดอำนาจในการตัดสินใจ: ขาดการควบคุมและมีปัญหาในการเรียงลำดับความสำคัญของงาน

  3. การไม่ได้รับผลตอบแทนที่เพียงพอ: ความรู้สึกที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจแต่ไม่ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า

  4. ขาดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม: รู้สึกไร้ตัวตนและไม่เป็นที่ยอมรับในที่ทำงาน

  5. ขาดความยุติธรรมและการยอมรับในที่ทำงาน: ความเชื่อใจในองค์กรลดลง

  6. การบริหารที่ไม่สอดคล้องกับคุณค่าและเป้าหมายของชีวิต: ระบบการจัดการที่ขัดแย้งกับคุณค่าทางจิตใจของตนเอง

ระยะต่าง ๆ ของการหมดไฟตามการศึกษาของ Miller & Smith (1993)
  1. ระยะฮันนีมูน (Honeymoon Phase): เป็นช่วงเริ่มงานที่คนทำงานรู้สึกตื่นเต้น ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ พยายามปรับตัวกับเพื่อนร่วมงาน

  2. ระยะรู้สึกตัว (Awakening Phase): เมื่อเวลาผ่านไปเริ่มรู้สึกว่างานไม่ตอบสนองกับความคาดหวังที่ตั้งไว้ เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ากับภาระงานง่ายขึ้น

  3. ระยะไฟตก (Brownout Phase): รู้สึกหงุดหงิดง่าย มีการปรับตัวแบบผิดๆ เช่น ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือดื่มสุรา

  4. ระยะหมดไฟเต็มที่ (Full Scale Burnout Phase): รู้สึกสิ้นหวัง ความมั่นใจในตนเองลดลง เป็นช่วงที่การทำงานและชีวิตถูกมองในแง่ลบอย่างสิ้นเชิง

  5. ระยะฟื้นตัว (Phoenix Phenomenon): หากได้รับการพักผ่อนและผ่อนคลายอย่างเต็มที่ จะสามารถกลับมาปรับทัศนคติต่อการทำงานได้อีกครั้ง

ผลกระทบของ Burnout ต่อร่างกายและจิตใจ

หากปล่อยภาวะหมดไฟโดยไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง อาจส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนี้:

  • ผลกระทบต่อร่างกาย: เหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดเมื่อย และปวดศีรษะ

  • ผลกระทบทางจิตใจ: ขาดแรงจูงใจ รู้สึกเบื่อหน่าย ซึมเศร้า และมีความวิตกกังวล

  • ผลกระทบต่อการทำงาน: ขาดงานบ่อย มีประสิทธิภาพลดลงและมีแนวโน้มอยากลาออกจากงาน

กลยุทธ์การรับมือกับภาวะหมดไฟ
  1. การสำรวจตนเอง: ตรวจสอบตนเองว่าอยู่ในภาวะหมดไฟหรือไม่ โดยสังเกตอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น การนอนไม่หลับ ความกังวลอย่างรุนแรง และความเบื่อหน่าย

  2. การนอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับที่ดีช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูจากความเหนื่อยล้าและเพิ่มพลังในการทำงาน

  3. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้

  4. การฝึกใจให้รับมือกับความเครียดที่ต้องเผชิญ: วิธีฝึกใจให้มีสติมากขึ้น ช่วยให้สามารถรับมือกับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  5. การฝึกหายใจ (Breathing Exercise): ฝึกหายใจเข้าออกอย่างมีสติเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้จิตใจสงบ เมื่อเริ่มรู้สึกเครียดหรือเหนื่อยล้าขึ้น

       Burnout เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและร่างกายอย่างชัดเจน ดังนั้นการดูแลตัวเอง การผ่อนคลายให้ถูกวิธี และการวางแผนจัดการกับงานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างกรณีศึกษา ภาวะหมดไฟ ภาวะหมดใจ  ฟื้นได้จากการหยุดพัก ทบทวนและ เริ่มต้นใหม่ :

       ณ เมืองใหญ่ที่ตื่นเช้าด้วยเสียงแตรรถและแสงไฟสว่างจ้า ชายหนุ่มชื่อ “ต้น” ผู้เป็นเจ้าของตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งด้วยความรู้สึกแปลก ๆ กาแฟแก้วเดิมที่เขาดื่มทุกวันกลับไม่ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเลย การแต่งตัวเป็นเรื่องที่เขาเคยให้ความใส่ใจ แต่เช้าวันนี้เขากลับหยิบเสื้อเชิ้ตตัวไหนก็ได้มาใส่อย่างไม่สนใจ กลับไปทำงานเช่นเคย แม้ใจจะหนักอึ้ง

       เมื่อถึงออฟฟิศ ต้นกดเปิดคอมพิวเตอร์เช็คอีเมลเหมือนทุกเช้า งานล้นมืออยู่ตรงหน้า และเขารู้ดีว่าต้องเร่งทำให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่แปลกที่เขาไม่รู้สึกถึงแรงจูงใจที่เคยมี ความสำเร็จที่เขาเคยภาคภูมิใจในอดีตดูเหมือนไกลเกินเอื้อม เขามองดูหน้าจอด้วยสายตาเหม่อลอย เสียงรอบข้างแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นเบา ๆ ตอกย้ำว่าเขาอ่อนล้าเพียงใด

    หลังเลิกงาน ต้นกลับบ้านไปด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เขาไม่สามารถหลับได้อย่างสบาย ความวิตกกังวลเข้าครอบงำทุกครั้งที่หลับตา วันใหม่กลับมาอย่างรวดเร็วและเขาไม่รู้สึกพร้อมที่จะลุกขึ้นไปทำงานอีกต่อไป ความเบื่อหน่ายและความสิ้นหวังแทรกซึมในทุกมุมของชีวิต

      วันหนึ่งขณะที่ต้นกำลังนั่งดื่มกาแฟแก้วเดิมในร้านที่เขาเคยมาหลบหนีจากความเครียด มีหญิงสูงวัยคนหนึ่งมานั่งข้าง ๆ เธอยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่นและกล่าวว่า "ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ก็อย่าลืมหาเวลาพักผ่อนให้ตัวเองบ้างนะ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนการก่อกองไฟที่ใช้เชื้อเพลิงจนหมด สุดท้ายก็มีแต่ขี้เถ้า"

      คำพูดนั้นดังก้องอยู่ในหัวของต้น ทำให้เขาหยุดคิดและยอมรับว่าเขากำลังอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “ภาวะหมดไฟ” เขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นสิ่งใหม่ในชีวิต ลางานไปพักผ่อนและเริ่มดูแลตัวเอง ใช้เวลาเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้ชีวิต ภาพความสำเร็จในอดีตที่เขาเคยสร้างไว้จึงค่อย ๆ กลับคืนมาในหัวใจและมอบพลังให้เขาสู้ต่อไป

       ต้นคือภาพสะท้อนของผู้ที่กำลังเผชิญกับ “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” หรือ Burnout Syndromeซึ่งถูกกล่าวถึงในบทความภาวะหมดไฟที่เรานำเสนอไปก่อนหน้านี้ ภาวะนี้เป็นสภาวะที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงานและการขาดความสมดุลในชีวิต องค์การอนามัยโลกได้ระบุภาวะหมดไฟในแนวทางการวินิจฉัยโรค (ICD-11) โดยมีอาการหลักคือ การสูญเสียพลังงาน ความรู้สึกต่อต้านและมองงานในทางลบ รวมถึงความรู้สึกเหินห่างจากคนรอบข้าง

       ต้นผู้เคยมีไฟในการทำงาน ต้องเจอกับความเครียดในงานที่มากเกินไป รวมทั้งความคาดหวังสูงในอาชีพการงาน ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอ่อนล้าและขาดแรงบันดาลใจ ชีวิตประจำวันที่เคยมีสีสันค่อย ๆ จืดชืดลง และเขาเริ่มรู้สึกเหมือน "ไฟ" ในตัวเองค่อย ๆ ดับลงตามลำดับขั้นตอนที่กล่าวถึงในบทความ ตั้งแต่ระยะฮันนีมูน ที่เขาเคยมีความสุขและกระตือรือร้นในงาน ระยะรู้สึกตัว ที่เขาเริ่มตั้งคำถามถึงความหมายและคุณค่าของสิ่งที่ทำ ไปจนถึงระยะไฟตก ที่ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าต่อเนื่องจนขาดความสนใจในงานและคนรอบข้าง

       การที่ต้นได้พบหญิงสูงวัยที่ให้คำแนะนำในการพักผ่อนและการหาเวลาให้ตนเอง คือก้าวแรกสู่การฟื้นตัวตามระยะสุดท้ายของภาวะหมดไฟ หรือที่เรียกว่า Phoenix Phenomenon นั่นคือการค้นพบความหมายใหม่และการสร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิตอีกครั้ง การยอมรับว่าเขากำลังประสบกับภาวะหมดไฟ ทำให้ต้นสามารถใช้เวลาพักผ่อนและปรับมุมมองในการทำงาน ซึ่งตรงกับกลยุทธ์ในการจัดการกับภาวะหมดไฟที่บทความแนะนำไว้ เช่น การสำรวจตนเอง การพักผ่อน และการฝึกสมาธิเพื่อฟื้นฟูความสมดุลในชีวิต

บทสรุปจากเรื่องของต้นสะท้อนว่า แม้ภาวะหมดไฟจะเป็นปัญหาที่ดูเหมือนสิ้นหวัง แต่การยอมรับและใช้วิธีจัดการที่ถูกต้อง สามารถช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความหมายและมีพลังในการทำงานต่อไป

อ้างอิงข้อมูลจาก : กรมสุขภาพจิต