; ไข้เลือดออก (Dengue Hemorrhagic Fever) -โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เชียงใหม่ McCormick Hospital ChiangMai

ไข้เลือดออก (Dengue Hemorrhagic Fever)


  

         ไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อย พบมากในเด็กอายุ 2 - 10 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ จะพบน้อยมาก ส่วนเด็กโตและผู้ใหญ่อาจพบได้บ้างประปราย อาการมักไม่รุนแรง และมักระบาดในช่วงฤดูฝนที่มียุงลายชุกชุม

สาเหตุของการเกิดไข้เลือดออก  

         ไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งซึ่งมียุงลายเป็นพาหะสำคัญ ยุงลายชอบกัดคนในเวลากลางวัน กล่าวคือยุงลายจะกัดคนที่เป็นไข้เลือดออกก่อน แล้วจึงจะไปกัดคนที่อยู่ใกล้เคียง ยุงชนิดนี้ชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น น้ำในตุ่ม จานรองตู้กับข้าว ฝากะลา หลุมที่มีน้ำขัง

อาการ  

เมื่อเป็นไข้เลือดออกแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการดังต่อไปนี้

 ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง

         ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลัน มีลักษณะไข้สูงตลอดเวลา หน้าแดง ตาแดง ปวดศรีษะ กระหายน้ำ ซึม มักมีอาการเบื่ออาหาร และอาเจียนร่วมด้วยเสมอ กินยาลดไข้ก็จะไม่ลด ในบางรายจะมีอาการปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ หรือชายโครงขวา อาจจะพบรอยจ้ำเขียวด้วยก็ได้ ผู้ป่วยจะมีไข้สูง  2-7 วัน ถ้าไม่มีอาการรุนแรงไข้จะลดในวันที่ 5 - 7

 ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก

         อาการจะเกิดระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค อาการไข้จะลดลง แต่คนไข้จะมีอาการปวดท้อง และอาเจียนบ่อยขึ้น ซึม กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะบ่อย ชีพจรเบาเต้นเร็ว ความดันต่ำ ซึ่งเป็นอาการช็อก ผู้ป่วยอาจมีอาการไม่รู้สึกตัว ปากเขียวคลำชีพจรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีภาวะเลือดกำเดาออก อาเจียนเป็นเลือด มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง  ระยะที่ 2 นี้ จะกินเวลา 2 - 3 วัน ถ้าหากผู้ป่วยไม่เสียชีวิต ก็จะผ่านช่วงวิกฤตไปได้

 ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว

        ในรายที่ผ่านระยะที่ 2 แล้ว อาการก็จะค่อยดีขึ้นกลับเข้าสู่สภาพปกติ ผู้ป่วยจะเริ่มกินอาหารได้ อาการปวดท้องจะลดลง อาการเลือดออกจะค่อย ๆ ดีขึ้น

อาการแทรกซ้อน  

        นอกจากภาวะเลือดออกรุนแรง ภาวะช็อคแล้วอาจเป็นปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบแทรกซ้อนได้ หรืออาจเกิดภาวะปอดบวมน้ำได้

ถ้าท่านสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก ควรปฏิบัตตัวดังต่อไปนี้

  1. กินยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ห้ามใช้ยาจำพวก แอสไพริน เพราะจะทำให้เลือดออกง่าย
  2. นอนพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมาก ๆ
  3. เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรมาพบแพทย์
  4. ในระยะที่ปวดท้องมาก อาเจียน รับประทานไม่ได้ กระสับกระส่าย ควรนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

การป้องกันโรคไข้เลือดออกสามารถทำได้ดังนี้  

 1.  ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น

  • ปิดฝาโอ่งน้ำและล้างโอ่งน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
  • จานรองตู้กับข้าว ควรใส่ทรายอะเบทลงไปหรือเทน้ำเดือดทุก ๆ สัปดาห์ หรือเกลือแกง 2 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว
  • ควรเก็บกระป๋อง กะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ ทิ้งเพื่อจะไม่เป็นที่ขังของน้ำ
  • ปรับพื้นบ้าน อย่าให้เป็นหลุมเป็นบ่อ

 2. ระวังไม่ให้ยุงกัด เช่น ควรนอนกางมุ้ง หรือ ทายากันยุง

อาการที่เป็นสัญญาณอันตราย ซึ่งต้องสังเกตอย่างใกล้ชิด  

  • อาการกระสับกระส่าย
  • ปวดท้องตรงยอดอกหรือลิ้นปี่
  • อาเจียนมาก
  • มือเท้าเย็น
  • หายใจหอบ ปากและเล็บเขียว
  • มีรอยจ้ำตามตัวหลายแห่ง 

    "ถ้าพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ควรพบแพทย์โดยเร็ว"

ป้องกันโรคไข้เลือดออก ได้อย่างไร?

  • ช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น น้ำขังในที่ต่างๆ ปิดภาชนะเก็บน้ำ ใส่ทรายอะเบท
  • ระวังอย่าให้ยุงกัด นอนในมุ้ง หรือให้เด็กอยู่ในบริเวณที่มีแสงสว่างเพียงพอ
 

กลยุทธ์ 5 ป. และ 1 ข. ประกอบด้วย


1. เปลี่ยน    เปลี่ยนน้ำในแจกัน ถังเก็บน้ำทุก 7 วัน เพื่อตัดวงจรลูกน้ำที่จะกลายเป็นยุง

2. ปิด          ปิดภาชนะ น้ำกินน้ำใช้มิดชิด หลังการตักใช้น้ำทุกครั้ง เพื่อป้องกันยุงลายลงไปวางไข่

3. ปล่อย     ปล่อยปลาหางนกยูง กินลูกน้ำในภาชนะใส่น้ำถาวร 

4. ปรับปรุง  ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้ปลอดโปร่ง โล่ง สะอาด ลมพัดผ่าน ไม่เป็นที่เกาะพักของยุงลาย

5. ปฏิบัติเป็นประจำ     ปฏิบัติเป็นประจำจนเป็นนิสัย และ 1 ข.  ขัดไข่ยุงลาย


        เนื่องจากยุงลายจะไข่เหนือระดับน้ำ 1 - 2 เซนติเมตร เมื่อมีน้ำมาเติมจนท่วมหลังไข่ จะฟักตัวเป็นลูกน้ำ แต่หากไม่มีน้ำมาเติมจนท่วม ก็จะแห้งติดผนังภาชนะอย่างนั้น เมื่อมีน้ำมาท่วมเมื่อใด ไข่ก็พร้อมแตกตัวเป็นลูกน้ำภายใน 30 นาที ในช่วงชีวิตประมาณ 60 วันของยุงลายตัวเมีย 1 ตัว ไข่ครั้งละ 50 - 150 ฟอง  4 - 6 ครั้ง จำเป็นต้องมีการขัดไข่ยุงลายในภาชนะโดยใช้ใยขัดล้าง หรือแปรงชนิดนุ่ม ช่วยในการการขัดล้างและทิ้งน้ำที่ขัดล้างนั้นบนพื้นดิน เพื่อให้ไข่แห้งตาย