ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ระบาดในช่วงฤดูฝนของทุกปี อาการของไข้เลือดออกมีตั้งแต่ไม่มีอาการผิดปกติ ไปจนถึงไข้เลือดออกรุนแรงทำให้เกิดเลือดออก ภาวะช็อก ไปจนถึงเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
อาการไข้เลือดออกแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
1.ระยะไข้สูง
ผู้ป่วยจะมีไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียสประมาณ 3-5 วัน หน้าแดง ตาแดง ปวดกระบอกตา ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน บางรายปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา
2.ระยะวิกฤต
เป็นระยะที่ต้องเฝ้าระวังมักเกิดใน 3-7 วันหลังจากที่มีไข้สูง จะมีอาการไข้ลดลงแต่ผู้ป่วยกลับมีอาการแย่ลง ได้แก่ ปวดท้อง ท้องอืดมากขึ้น หายใจลำบาก กระสับกระส่าย ปลายมือปลายเท้าเย็น ในรายที่มีเกล็ดเลือดต่ำจะมีโอกาสเกิดภาวะเลือดออก เช่น จุดเลือดออกตามผิวหนัง เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดถ่ายอุจจาระสีดำ หากมีภาวะช็อกจะมีชีพจรเต้นเร็วและเบา ความดันโลหิตต่ำ ปัสสาวะออกน้อย ไม่รู้สึกตัว ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจเสียชีวิตได้ ระยะวิกฤตจะกินเวลานาน 2-3 วัน
3.ระยะฟื้นตัว
เป็นระยะสุดท้ายหลังจากผ่านระยะไข้สูง หรือผู้ป่วยที่ผ่านรยะวิกฤตมาแล้ว 1-2 วันอาการจะดีขึ้น ผู้ป่วยจะมีความอยากอาหารมากขึ้น ผื่นสีแดงตามร่างกาย ปัสสาวะออกมากขึ้น
อาการที่สงสัยไข้เลือดออก
- ไข้สูง 39- 40 องศาเซลเซียสเกิน 2 วัน
- ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย ปวดกระบอกตา
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด
- จุดเลือดออกจามผิวหนัง
- เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระสีดำ
หากมีอาการดังกล่าวควรพบแพทย์ทันทีเพื่อให้การวินิจฉัย โดยแพทย์จะซักประวัติการระบาดของไข้เลือดออกในชุมชนและถิ่นระบาด ตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่อยู่ในระยะไข้สูงและระยะวิกฤตจะต้องให้การดูแลใกล้ชิดเพื่อติดตามและป้องกันภาวะช็อก โดยให้การรักษาดังต่อไปนี้
- การให้ทานน้ำเกลือแร่(ORS) เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำในร่างกาย
- การให้สารน้ำทางหลอดเลือด ในผู้ป่วยที่อาเจียน, ถ่ายเหลวมาก ไม่อยากอาหาร หรือทานอาหารได้น้อย
- การให้ยาลดไข้พาราเซตามอล (Paracetamol) และห้ามใช้ยากลุ่มแอสไพริน ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) และ ยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSIADs) เพราะจะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
ร่วมกับการดูแลเช็ดตัวลดไข้ แนะนำให้ทานอาหารอ่อนหรือย่อยง่าย และดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ และงดอาหารสีดำหรือสีแดง เพื่อสังเกตอาการเลือดออกในทางเดินอาหารที่จะมีอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระสีดำ
ในระหว่างการรักษาจะตรวจเลือดติดตามเป็นระยะเพื่อเฝ้าระวังเกล็ดเลือดต่ำ และเม็ดเลือดแดงเข้มข้น ที่จะบ่งบอกความรุนแรงของโรคไข้เลือดออก
การป้องกัน
- วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ปัจจุบันวัคซีนสามารถครอบคลุมได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ฉีดได้ทั้งในคนที่เคยและไม่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 4-60 ปี จำนวน 2 เข็มห่างจากเข็มแรก 3 เดือน และในผู้ป่วยไข้เลือดออกแนะนำรับวัคซีนหลังหายจากโรค 6 เดือน เนื่องจากการติดเชื้อไข้เลือดออกครั้งที่ 2 อาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการรุนแรงที่มากขึ้น โดยวัคซีนมีประสิทธิภาพป้องกันไข้เลือดออกได้ถึง 80%
- ป้องกันไม่ให้ยุงกัด เช่น ทายากันยุง สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และถุงเท้า
- ปิดหน้าต่างหรือติดมุ้งลวดเพื่อป้องกันยุง นอนในมุ้ง
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทั้งในและรอบบริเวณบ้าน โดยใช้ฝาปิดครอบภาชนะและกำจัดแหล่งน้ำขัง
ข้อควรระวัง
“ไข้เลือดออกเป็นแล้วเป็นซ้ำ และเพิ่มโอกาสในการเป็นโรครุนแรงมากกว่าครั้งแรก”
“ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้มีอาการรุนแรงจนถึงเสียชีวิต ได้แก่ น้ำหนักเกิน มีโรคประจำตัว และไปรักษาที่โรงพยาบาลล่าช้า”
กลยุทธ์ 5 ป. และ 1 ข. ประกอบด้วย
- เปลี่ยน เปลี่ยนน้ำในแจกัน ถังเก็บน้ำทุก 7 วัน เพื่อตัดวงจรลูกน้ำที่จะกลายเป็นยุง
- ปิด ปิดภาชนะ น้ำกินน้ำใช้มิดชิด หลังการตักใช้น้ำทุกครั้ง เพื่อป้องกันยุงลายลงไปวางไข่
- ปล่อย ปล่อยปลาหางนกยูง กินลูกน้ำในภาชนะใส่น้ำถาวร
- ปรับปรุง ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้ปลอดโปร่ง โล่ง สะอาด ลมพัดผ่าน ไม่เป็นที่เกาะพักของยุงลาย
- ปฏิบัติเป็นประจำ ปฏิบัติเป็นประจำจนเป็นนิสัย และ 1 ข. ขัดไข่ยุงลาย
เนื่องจากยุงลายจะไข่เหนือระดับน้ำ 1 - 2 เซนติเมตร เมื่อมีน้ำมาเติมจนท่วมหลังไข่ จะฟักตัวเป็นลูกน้ำ แต่หากไม่มีน้ำมาเติมจนท่วม ก็จะแห้งติดผนังภาชนะอย่างนั้น เมื่อมีน้ำมาท่วมเมื่อใด ไข่ก็พร้อมแตกตัวเป็นลูกน้ำภายใน 30 นาที ในช่วงชีวิตประมาณ 60 วันของยุงลายตัวเมีย 1 ตัว ไข่ครั้งละ 50 - 150 ฟอง 4 - 6 ครั้ง จำเป็นต้องมีการขัดไข่ยุงลายในภาชนะโดยใช้ใยขัดล้าง หรือแปรงชนิดนุ่ม ช่วยในการการขัดล้างและทิ้งน้ำที่ขัดล้างนั้นบนพื้นดิน เพื่อให้ไข่แห้งตาย