การดูแลและรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์หัวใจแห่งประเทศไทย
ชมรมหัวใจล้มเหลวแห่งประเทศไทย และสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล
หน้าที่ของหัวใจ
หัวใจทำหน้าที่เหมือนปั๊มน้ำคอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หัวใจจะทำงานได้ดีต้องมีองค์ประกอบที่ปกติ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง ลิ้นหัวใจเปิดปิดดี จังหวะการเต้นต้องเหมาะสม รูปร่างโดยรวมของหัวใจปกติ หากสิ่งใดสิ่งหนึ่งผิดปกติไป จะทำให้หัวใจทำงานได้น้อยลง และหากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้

ภาวะหัวใจล้มเหลว คือ อะไร
ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือ Heart failure คือ ภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆของร่างกายได้เพียงพอ ทำให้ร่างกายได้รับเลือดและสารอาหารต่าง ๆ ไม่เพียงพอ เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้ผู้ป่วยอ่อนแรง เหนื่อยง่าย และเกิดการคั่งของน้ำในร่างกายมากผิดปกติ
อาการของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว
- เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
- หายใจไม่สะดวก นอนราบไม่ได้
- เหนื่อยเฉียบพลันขณะหลับ
- ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
- บวมแบบกดบุ๋ม
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นข้ามวัน
สาเหตุที่พบบ่อยของภาวะหัวใจล้มเหลว
- ความดันโลหิตสูง
- กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- การได้รับยาและสารพิษต่อหัวใจ
ภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
- ถ้าไม่รักษาจะมีอาการกำเริบมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจจะต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยมาก และเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
- ผู้ป่วยต้องคอยดูแลตนเอง รับประทานยาตามแพทย์สั่ง ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้อาการกำเริบ
- หากมีอาการกำเริบต้องรีบมาพบแพทย์ เพื่อรักษาสาเหตุหรือปัจจัยกระตุ้นและปรับยาให้เหมาะสม
การรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว
- การรักษาด้วยยา
- การสวนหัวใจ / การจี้หัวใจ
- การฝังเครื่องช่วยกระตุ้นไฟฟ้า
- การผ่าตัด
ความสำคัญในการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว
- เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
- ลดอาการแทรกซ้อนที่มาจากภาวะหัวใจล้มเหลว
- ชะลอความรุนแรงของโรค
- ลดปัจจัยที่อาจทำให้เสียชีวิต เช่น หัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และลดอัตราการเสียชีวิต
การรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวด้วยยา
- เพิ่มความสามารถในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
- ชะลอการเสื่อมของหัวใจ
- ลดอาการรุนแรงและป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลวมากขึ้น
- เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีมากยิ่งขึ้น
การใช้ยาขับปัสสาวะ
- ยาขับปัสสาวะเป็นยาหลักที่แพทย์ใช้ในการบรรเทาอาการ โดยเฉพาะเวลากำเริบและมีน้ำคั่งอยู่ในร่างกายมาก จึงสามารถลดอาการบวม อาการหอบเหนื่อย และอาการนอนราบไม่ได้
- การใช้ยาขับปัสสาวะจะมีการปรับเปลี่ยนขนาดยาและวิธีกินตามอาการในแต่ละช่วง
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากยา
- อาการแพ้ยา ปากบวม ตาบวม หน้าบวม 
- มีค่าระดับการทำงานของไตที่สูงขึ้น 
- ภาวะความดันโลหิตต่ำ หรือมีอาการวูบเวลาเปลี่ยนท่าทาง 
- ในเพศชายอาจมีอาการคัดตึงเต้านมหรือเต้านมโต 
- มีค่าระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้น 
ผลข้างเคียงดังกล่าว ไม่ใช่ สาเหตุที่ต้องปฏิเสธการกินยา แต่เป็นสิ่งที่สามารถป้องกันหรือแก้ได้โดยให้พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
การรับประทานยาที่ถูกต้อง
- สังเกตและทบทวนวิธีการกินยาแต่ละชนิดกับฉลากยา โดยเฉพาะเมื่อมีการปรับเปลี่ยนชนิดหรือขนาดยา
- ยาจะได้ผลรักษาดี ก็ต่อเมื่อกินยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง
- การขาดยาอาจทำให้อาการหัวใจล้มเหลวกำเริบ ถึงขนาดเข้าโรงพยาบาล ดังนั้นควรตรวจสอบปริมาณยากับวันนัดแพทย์ ระวังอย่าให้ยาหมดก่อนมาพบแพทย์ หากมีเหตุจำเป็นควรโทรมาเลื่อนนัดให้เหมาะสม
การเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม
- ไม่ควรกินโซเดียมเกินวันละ 2,000 มิลลิกรัม
- ไม่ควรรับประทานอาหารบางประเภท เช่น อาหารสำเร็จรูป อาหารแปรรูป อาหารหมักดอง เบเกอรี่ที่ใส่ผงฟู ผงชูรส เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น
- ควรรับประทานอาหารที่ปรุงเองหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม รสจัด เนื่องจากมักมีโซเดียมปริมาณมาก
- ควรเลือกรับประทานข้าวกล้อง หรือข้าวขาวเป็นหลัก
- ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่สด ไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูป เช่น กุนเชียง หมูยอ ลูกชิ้น แหนม หมูหยอง ไส้กรอก แฮม เป็นต้น
- ควรเลือกรับประทานผักและผลไม้สด

ปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรสและเครื่องจิ้ม
- เกลือ 1 ช้อนชา มีโซเดียม 2,000 มก.
- ซุปก้อนปรุงรส 1 ก้อนเล็ก มีโซเดียม 1,578 มก.
- น้ำปลาและซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ มีโซเดียม 1,350 มก.
- ระวังการใช้เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ น้ำจิ้มสุกี้ กะปิ ปลาร้า ผงฟู ในการปรุงอาหาร
ควรกลับมาพบแพทย์เมื่อมีอาการเหล่านี้
- หายใจหอบเหนื่อยรุนแรง หรือหายใจไม่ออก
- อาการเหนื่อยเป็นมากขึ้นมาก ๆ จนนั่งเฉย ๆ ก็ยังเหนื่อย
- หน้ามืด ใจสั่น จะเป็นลม
- ปัสสาวะน้อยลงมาก ๆ หรือไม่ออกเลย
- นอนราบไม่ได้
คำแนะนำทั่วไป
- ชั่งน้ำหนักตนเองทุกวัน และจดค่าน้ำหนักไว้
- พยายามทำกิจวัตรประจำวัน หรือออกกำลังกายตามปกติเท่าที่ทำได้ เพื่อรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและร่างกายไว้ ในระดับที่เหมาะสมกับอาการของท่าน
- โดยทั่วไปให้จำกัดปริมาณน้ำต่อวันประมาณ 2 ลิตร หรือตามแพทย์กำหนด
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
- ยาหลายชนิดทำให้อาการหัวใจล้มเหลวกำเริบได้ โดยเฉพาะยาชุด ยาแก้ปวด ยาลูกกลอน และยาสมุนไพรที่อาจปนเปื้อน สเตียรอยด์ ไม่ควรซื้อยาเหล่านี้มากินเอง
- ควรงดเหล้า เบียร์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และควรเลิกสูบบุหรี่เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง หรือกำเริบได้
ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
- ภาวะหัวใจล้มเหลวรักษาได้ ด้วยการรักษาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
- วันที่มาตรวจให้นำยาที่ใช้อยู่ และสมุดบันทึกน้ำหนักตัวมาด้วยทุกครั้ง
- ไม่ควรขาดยา หรือขาดการติดตามรักษา โทรมาเลื่อนนัดหากจำเป็น แต่ระวังไม่ให้ขาดยา